คู่มือ Pokemon Go สำหรับเทรนเนอร์มือใหม่ กับวิธีการหา พัฒนา และฟักไข่โปเกม่อน! - GameWorld.in.th

คู่มือ Pokemon Go สำหรับเทรนเนอร์มือใหม่ กับวิธีการหา พัฒนา และฟักไข่โปเกม่อน!

author image by penguin | Mobile News Tricks Pokemon GO | 0 Comments | 14 ก.ค. 2016 | เปิดดู

Pokémon Go เกมที่ประสำความสำเร็จไปอย่างถล่มทลาย หลังจากเปิดให้ได้เล่นกันแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ทำเอาผู้เล่นคลั่งกับการออกไปไล่ล่าโปเกม่อนกันมากมาย และมีความเคลื่อนไหวมาให้เราเสพได้ทุกวัน

สำหรับวันนี้ก็เช่นเคยทาง GameWorld ของเราก็มีคู่มือดีๆ ที่โปเกม่อนเทรนเนอร์ทั้งมือใหม่ไปจนถึงมือโปรควรรู้ เกี่ยวกับ การหาโปเกมอนแบบเจาะจง รวมไปถึงการวิวัฒนาการโปเกมอนว่าทำได้ยังไง และที่สำคัญเราต้องรู้จักวิธีฟักไข่ให้เป็นด้วยเพื่อความโปรของเรา ใครว่าการฟักไข่เป็นเรื่องเล่นๆ 555555555 ต้องทำอะไรบ้างนั้นเชิญสูบข้อมูลได้เลยครับ

วิธีการหาโปเกม่อนแบบเจาะจง

การหาโปเกมอนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยู่ที่ ชายหาด หรือ ท่าเรือ เราก็มีแนวโน้มที่จะได้จับ Pokémon ธาตุน้ำ และในกรณีเดียวกันถ้าคุณอยู่ใน ภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย เราก็จะมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ Pokémon ธาตุน้ำ มา ซึ่งเราสามารถดูชนิดของโปเกม่อนที่เราน่าจะเจอในบริเวณใกล้ๆ ได้โดยใช้ Feature Nearby โปรดจำไว้ว่าถ้าโปเกมอนตัวไหนที่ปรากฎใน Pokédex แล้วนั้นก็จะมีสีขึ้นมา แต่ถ้าเกิดยังไม่มีมันก็จะขึ้นเป็นสีเทาอยู่

Pokemon Go Guide 1ร่วมมือกันกับเหล่าเทรนเนอร์คนอื่นๆ เพื่อออกตามหาโปเกม่อนในสถานที่ๆ คิดว่าจะเจอ

Pokémon’s Summary

เราสามารถดูและปรับข้อมูลของโปเกมอนแต่ละตัวได้นิดๆ หน่อยๆ

การเข้าไปตั้งค่าใน Pokémon Profile

  1. เข้าไปที่ Map View แล้วแตะไปที่ Main Menu Pokemon Go Guide 4
  2. แตะที่ Pokémon Pokemon Go Guide 6
  3. เลือกโปเกม่อนจากในลิสต์รายชื่อ Pokémon ทั้งหมด ( มีรูปปลากรอบ )

Pokemon Go Guide 2

หน้า Profile Feature

  1. ค่าพลัง CP ของ Pokémon
  2. เพิ่มโปเกมอนตัวนั้นเป็น Favorite List หรือรายการโปรด
  3. ชื่อของ Pokémon ( ในรูปจะเป็นชื่อตั้งต้นของโปเกม่อนนั้นๆ )
  4. แตะเพื่อทำการแก้ไขชื่อของ Pokémon ซึ่งเราจะเห็นได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
  5. ค่า HP ของ Pokémon
  6. ธาตุ, น้ำหนัก และส่วนสูงของ Pokémon
  7. จำนวน Candy และ Stardust เพื่อที่จะทำการ Power Up และ Evolve ด้านบนจะเป็นจำนวน Candy และ Stardust ที่มีอยู่ของเราในช่องเก็บของ ส่วนด้านล่างจะเป็นจำนวน Candy และ Stardust ที่ใช้ในการ Power Up และ Evolve ของ Pokémon ตัวนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในภาพเทรนเนอร์จะต้องใช้ 600 Stardust และ 1 Candy เพื่อเพิ่ม Power Up
  8. ท่าของ Pokémon
  9. สถานที่และเวลาที่คุณจับ Pokémon ตัวนั้นได้
  10. เมื่อส่ง Pokémon ตัวนั้นของเราไปให้กับศาสตราจารย์ เราก็จะได้รับ Candy จากการแลกเปลี่ยนกับ Pokémon แต่โปรดระวังหน่อยนะครับเพราะ Pokémon ที่ส่งไปแล้วจะไม่สามารถนำกลับมาได้อีกต่อไป

การดู Pokédex

Pokemon Go Guide 3

ตัว Pokédex นั้นจะคอยเก็บข้อมูลว่ามีโปเกม่อนตัวไหนที่เราเคยเจอ และเคยจับได้ไปแล้วเราสามารถใช้ Pokédex เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับตัวโปเกม่อนและร่างพัฒนาของมัน โปเกม่อนที่เราเคยเจอแต่ยังไม่ได้จับนั้นจะปรากฎให้เห็นในแบบเป็นเงา ส่วนโปเกม่อนที่จับแล้วจะปรากฎออกมาเป็นตัวที่มีสีสันสดใส สำหรับตัวที่ยังไม่เคยเจอและไม่เคยจับมาก่อนเราก็จะเห็นเพียงแค่หมายเลขของโปเกม่อนตัวนั้นใน Pokédex เท่านั้น

การเข้าไปที่ Pokédex

  1. เข้าไปที่ Map View แตะที่ Main Menu Pokemon Go Guide 4
  2. แตะที่ Pokédex Pokemon Go Guide 5

การใช้ Stardust และ Candy เพื่อเพิ่มพลังความสามารถให้กับ Pokémon

  • Stardust และ Candy สามารถนำไปเพิ่มพลังความสามารถให้กับโปเกม่อนที่เราจับมาได้ ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มทั้งค่า CP และ HP อีกด้วย
  • วิธีที่จะได้ Stardust และ Candy นั้น จะมาจาก การจับโปเกม่อน, การฟักไข่ หรือการส่งโปเกม่อนให้กับศาสตราจารย์ 
  • Candy จะได้รับจากการพัฒนาร่างของโปเกม่อนตามสายนั้นๆ ของมันยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้รับ Candy ของ Balbasaur จากการจับมันมาได้มา, หรือมาจากการฟักไข่ รวมไปถึงการส่งไปให้ศาสตราจารย์ไม่ว่าจะได้มาจากทางไหนก็ตามแต่ โปเกม่อนในตระกูลของ Balbasaur ( Balbasaur, Ivysaur และ Venusaur ) คุณจำเป็นต้องใช้ Candy ของ Balbasaur เพื่อเพิ่มเพิ่มพลังความสามารถให้กับ Balbasaur, Ivysaur หรือ Venusaur เท่านั้น ไม่สามารถนำไปเพิ่มพลังให้กับโปเกม่อนสายอื่นได้ คุณสามารถตรวจสอบรายการโปเกม่อนได้จาก Pokémon Go Pokédex
  • แต่ Stardust นั้นสามารถใช้เพื่อเพิ่มเพิ่มพลังความสามารถให้กับโปเกมอนตัวไหนหรือสายไหนก็ได้ที่คุณมี ตัวอย่างเช่น เราสามารถเพิ่มเพิ่มพลังความสามารถให้กับ Rattata โดยใช้ Stardust ที่ได้จากการจับ Meowth ก็ได้ หรือเราได้รับ Stardust มาจากการจับ,การฟัก หรือส่งโปเกม่อนไปให้ศาสตราจารย์ก็สามารถนำ Stardust มาใช้ได้กับโปเกม่อนทุกตัว ซึ่งไม่มีการจำกัดสายเหมือน Candy

การเพื่อเพิ่มพลังความสามารถ Pokémon

  1. เข้าไปที่ Map View แตะไปที่ Main Menu Pokemon Go Guide 4
  2. แตะที่เมนู Pokémon Pokemon Go Guide 6
  3. เลือกโปเกมอนที่ต้องการเพิ่มพลังความสามารถ จากรายชื่อโปเกมอนที่เรามี
  4. จากนั้นเข้าไปที่ Pokémon Summary แตะไปที่ปุ่ม Power Up Pokemon Go Guide 7
หมายเหตุ: เราจะไม่สามารถเพิ่มพลังความสามารถให้กับโปเกมอนของเราได้จนกว่าจะมี Candy และ Stardust มากพอ เราสามารถดูได้ว่าโปเกมอนตัวนั้นของเราต้องใช้ Candy และ Stardust เท่าไหร่เพื่อทำการเพิ่มพลังความสามารถได้ที่หน้า Pokémon Summary

Pokemon Go Guide 8

เครื่องฟักไข่และวิธีการฟักไข่ Pokémon

เมื่อเราทำการรวบรวมไอเทมที่ PokéStops เราอาจจะได้พบกับไข่ของโปเกม่อน ซึ่งเราสามารถนำไข่นั้นๆ ไปฟักโดยใช้เครื่องฟักไข่ และไข่ก็จะฟักออกมาเป็นตัวโปเกม่อน แต่จะออกมาเป็นตัวไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับจำนวนระยะทางที่เราเดินนั่นเอง

การฟักไข่

  1. เข้าไปที่ Map View แตะไปที่ Main Menu Pokemon Go Guide 4
  2. แตะที่เมนู Pokémon Pokemon Go Guide 6
  3. เราจะเห็นว่าที่ด้านบนของหน้าจอมีคำว่า Eggs อยู่
  4. เลือกไข่ที่มีมาหนึ่งใบ
  5. แตะที่ Start Incubation
  6. เลือกเครื่องฟักไข่เพื่อทำการฟักไข่ที่เรามี
  7. เดินไปเรื่อยๆ เพื่อทำการฟักไข่

ไข่แต่ละใบนั้นจะแสดงผลจำนวนตัวเลขเป็นกิโลเมตร ที่เราจำเป็นจะต้องเดินเพื่อจะฟักไข่นั้นๆ โดยทั่วไปนั้นจำนวนกิโลเมตรที่เดินยิ่งมากก็ยิ่งมีโอกาสได้โปเกม่อนระดับแรร์มากตามไปด้วย หลังจากนั้นเมื่อไข่ของเราฟักเรียบร้อยแล้วก็จะมีการแจ้งเตือนจะปรากฎให้เรารู้

Tip: เช็คให้แน่ใจว่าเได้ราเปิด App Pokémon Go ไว้ตลอดระยะเวลาที่เราเดิน จำนวนระยะทางที่เราเดินขณะปิด App นั้นจะไม่ถูกนับเพื่อทำการฟักไข่นะครับ

เครื่องฟักไข่หนึ่งเครื่องจะใช้ฟักไข่ได้ทีละหนึ่งใบเท่านั้น วิธีที่จะฟักไข่ให้ได้ทีละหลายๆ ใบสามารถทำได้โดยการซื้อไอเทมเครื่องฟักไข่เพิ่มเติมได้จากใน Shop

การพัฒนาร่างของ Pokémon

ทุกๆ ครั้งที่เราจับโปเกม่อนได้ตามสายพันธุ์ของมันนั้น เราก็จะได้ Candy ที่สามารถนำมาพัฒนาร่างของโปเกม่อนตามสายนั้นๆโดยความต้องการของจำนวน Candy ที่ใช้ก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ของโปเกม่อน ยิ่งใช้จำนวน Candy มากก็มีแนวโน้มว่าจะได้รับโปเกม่อนที่มีค่า CP ที่สูงมากขึ้นเท่านั้น

วิธีการพัฒนาร่างของ Pokémon

  1. เข้าไปที่ Map View แตะที่ Main Menu Pokemon Go Guide 4
  2. แตะที่เมนู Pokémon Pokemon Go Guide 6
  3. เลือก Pokémon ที่จะทำการพัฒนาร่างจากรายชื่อโปเกม่อนที่เรามี
  4. จากนั้นเข้าไปที่หน้า Pokémon Summary แตะไปที่ปุ่ม Evolve

ซึ่งเราจะยังคงมีจำนวนโปเกม่อนในคอลเล็คชั่นเท่าเดิมหลังจากทำการพัฒนาร่างโปเกม่อนตัวนั้นไปแล้ว โดยโปเกม่อนตัวที่เราเลือก Evolve นั้นจะกลายร่างไปเป็นโปเกม่อนในร่างพัฒนา ดังนั้นจำนวนโปเกม่อนจะไม่เพิ่มหรือลดลงแต่อย่างใด
เราจะไม่สามารถเพิ่มพลังความสามารถให้กับโปเกมอนของเราได้จนกว่าจะมี Candy ที่มากพอ เราสามารถเช็คดูได้ว่าโปเกมอนตัวนั้นของเราต้องใช้ Candy เท่าไหร่เพื่อทำการพัฒนาร่างได้ที่หน้า Pokémon Summary
Pokemon Go Guide 9

เข้าร่วมกลุ่มแลกเปลี่ยนเทคนิคเกม Pokémon Go ได้ที่

pokemon go

ข้อมูลจาก 2P

Tags: , , , , , , , , , , , , , , , , ,

Advertisement




Advertisement




LIKE US